เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ก.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ความไร้เดียงสา สภาวธรรมคือ สภาวธรรมธรรมชาติ สภาวธรรมที่ธรรมชาติเกิดตามความเป็นจริง สิ่งที่เป็นธรรมชาติแปรสภาพไปตลอดไป ถ้าเราสภาวธรรมตามธรรมชาติ เราก็เป็นสสารอันหนึ่งที่หมุนเวียนในธรรมชาตินั้น ธรรมชาตินี่แปรสภาพไปตลอดเวลา เขาว่าสภาวธรรมคือสภาวธรรมชาติก็ถูกอยู่ เพราะว่าธรรมชาตินี้เป็นส่วนหนึ่ง

แต่ในธรรมะของเรา มันจะมีหัวใจอันหนึ่ง หัวใจผู้รู้ในธรรมชาตินี้ไง ถ้าเข้าใจสภาวะตามความเป็นจริงแล้วมันปล่อยวางธรรมชาติอยู่ มันพ้นออกไปจากสภาวะที่หมุนเวียนไปโดยธรรมชาติ สิ่งที่เป็นธรรมชาติถ้าเราไม่ฝืนมันเราก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม ถ้าเราศึกษาธรรมะ เราว่าธรรมะนี้ธรรมชาติ ส่วนหนึ่งเป็นธรรมชาติ การเกิดและการตายนี้ก็เป็นสภาวธรรมชาติอันหนึ่ง ถ้าเราไม่กังวลมัน เรายอมรับสิ่งนี้ได้เราก็จะไม่มีความทุกข์ในหัวใจ แต่กิเลสในหัวใจมันไม่ยอมรับสิ่งนั้น มันจะฝืนไง

ดูสิ ดูอย่างกษัตริย์สมัยโบราณหายาสมุนไพร หายาต่างๆ เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ไม่มีวันตาย เพราะเขาเกิดมาในสถานะของกษัตริย์ เขามีความสุขของเขา ความสุขของเขาที่เขาว่ามีความสุข แต่ความสุขของเขาจริงๆ นั้นคือความกังวลความทุกข์ของเขา แต่เป็นความพอใจของเขา

ความไร้เดียงสาของเด็กนี้เป็นสิ่งที่น่ารักน่าชังมาก เพราะมันไร้เดียงสา มันเป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง เพราะมันไร้เดียงสา แต่การประพฤติปฏิบัติ เราเริ่มต้นใหม่ๆ ก็ไร้เดียงสา ความไร้เดียงสาของเราคือเราไม่เข้าใจตามความเป็นจริง เราจะไม่เคยเห็นสภาวธรรมที่ตามความเป็นจริงเป็นสภาวะแบบนั้น จะเป็นการคาดการหมายของเราไปทั้งหมด แต่มีวาสนา วาสนาเพราะเกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ตรัสรู้ธรรมนะ ไม่มีศาสดาองค์ใดในโลกนี้ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้สิ้นกิเลส มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นปฏิญาณตนว่า “เราเป็นผู้ที่สิ้นกิเลส” จะรื้อสัตว์ขนสัตว์รื้อสภาวะตามความเป็นจริง สิ่งที่เหนือธรรมชาติ สภาวธรรมชาติเป็นไปตามสภาวะแบบนั้น นั้นสภาวธรรม ในสัพเพ ธัมมา อนัตตา เราต้องเข้าไปรู้ตามความเป็นจริงในสภาวธรรมชาตินั้น แล้วปล่อยวางสภาวะของธรรมชาตินั้นไว้ตามความเป็นจริง

ผู้ที่ปล่อยวางสภาวะตามธรรมชาตินั้น อาสเวหิ อาสวะสิ้นไป จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ จิตนี้เป็นผู้ข้ามพ้นจากสภาวะของธรรมชาติที่มันหมุนเวียนไป นรก สวรรค์ สภาวะวัฏฏะนี้มันถึงมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน มันเวียนตายเวียนเกิด มันแปรสภาพของมันโดยธรรมชาติของมันอยู่อย่างนี้

นิมิต มิติ ปิดบังความเห็นต่างๆ ของกาลเวลาไว้ มิติปิดบังไว้อย่างนั้น แล้วเราก็ไม่รู้จักมิติอื่น เราคาดหมายไป ทางวิทยาศาสตร์จะคิดคำนวณไป แล้วจะพยายามศึกษาไปให้ค้นคว้าอย่างนั้น เวลานักบินอวกาศขึ้นไปบนอวกาศ เขาไม่พบสวรรค์หรอก เขาไม่พบสิ่งนั้น ขุดดินลงไปก็ไม่พบนรกหรอก เพราะสิ่งนี้มันเป็นมิติหนึ่ง เป็นสภาวะอันหนึ่ง

แต่นรกสวรรค์นี้คือสิ่งที่หัวใจนี้เป็นไป หัวใจ เห็นไหม เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบๆ เข้ามา เราสามารถปล่อยวางมิติได้ ถ้าปล่อยวางมิติได้ผู้ที่มีกิเลสอยู่เขาก็สามารถย้อนอดีตชาติของเขาได้เหมือนกัน สิ่งที่ย้อนอดีตชาติไป เพราะพ้นจากมิติแล้วมันไปเป็นข้อมูลเดิม สิ่งนี้มันจะรื้อออกมา จริงหรือเท็จนั้นอยู่ที่ว่าคนมีอุปาทานมากน้อยขนาดไหน ถ้าอุปาทานมันไม่มีความนี้จะเป็นความจริง

ความไร้เดียงสาของการประพฤติปฏิบัติก็ไร้เดียงสา ความไร้เดียงสาของเราประพฤติปฏิบัติเพราะเราไม่เป็น เราไร้เดียงสาเลยกลายเป็นการคาดการหมาย การคาดการหมาย เห็นไหม คิดว่าเราสุตมยปัญญา ศึกษาธรรมมาแล้ว การประพฤติปฏิบัติธรรมต้องเป็นสภาวะแบบนั้น มันไม่เป็นตามสภาวะแบบนั้นหรอก มันเป็นส่วนใหญ่ ความเป็นส่วนใหญ่คือ กาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นฐานใหญ่ การวิปัสสนาไปมันจะไม่เป็นเหมือนที่เราศึกษามาหรอก สิ่งที่เราศึกษามานี่เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามาเป็นพระพุทธเจ้า สร้างบุญบารมีมาขนาดไหน สละทั้งลูกสละทั้งเมียสละทุกอย่างเวลาชาติสุดท้าย เราว่าสิ่งนั้นเราทำไม่ได้ เพราะการสละแบบนั้นถึงการภาวนาแล้วจะเห็นความต่างๆ ออกไป จิตมันจะมีบารมีมาก มันจะกว้างขวางมาก มันจะเห็นสภาวะตามความเป็นจริงของใจดวงนั้น มันจะกว้างขวางจะครอบไปหมดในจริตนิสัยของสัตว์โลก

แต่เราสร้างบุญบารมีมาไม่ได้แบบนั้น เราสร้างบุญบารมีจนมีอำนาจวาสนา จนมีความสนใจในศาสนา การประพฤติปฏิบัติของเราถ้ามันเกิดขึ้นมาในความเห็นของเรา อันนั้นเป็นปัจจุบันของเรา เป็นความเห็นของเรา การไร้เดียงมันถึงว่า ทำไมมันไม่เหมือนตำรา ทำไมมันไม่เหมือนที่เราศึกษามา มันเลยเป็นความกังวล ความไร้เดียงสาเพราะกิเลสมันพลิกแพลง กิเลสในหัวใจเบี่ยงเบนความประพฤติปฏิบัติของเรา จะให้ตามความจริง ทั้งๆ ที่เราเห็นจริง เราประพฤติปฏิบัติจริง เรารู้จริงตามความเป็นจริงของเรา รู้ตามความเป็นจริงของอำนาจวาสนาอย่างเรานี่

เรามีอำนาจวาสนาขนาดนี้ เราเห็นของเราขนาดนี้ แต่มันเป็นกายไหม มันเป็นจิตไหม ถ้ามันเป็นกายเป็นจิตเราก็แยกแยะ เราก็ใช้ปัญญาใคร่ครวญไป อันนั้นเป็นความก้าวหน้าของเรา ถ้าเราก้าวหน้าขึ้นมาเราจะยืนตัวขึ้นมาได้ เราจะไม่ไร้เดียงสา เราไร้เดียงสาในธรรม แต่กิเลสมันเข้มแข็งมาก กิเลสมันไม่ไร้เดียงสาหรอก กิเลสมันเบี่ยงเบนมันบิดเบือนๆ ให้เราหลงผิดไปแน่นอน เพราะพญามารไง

เวลาลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ที่ว่าเชือดคอตายเวลาปฏิบัติไปนะทุกข์มากๆ เจริญแล้วเสื่อมๆ จนเชือดคอตาย การเชือดคอตายมันเป็นการที่ฆ่าตัวเอง แต่ว่าขณะเชือดคอตายใช้ปัญญาไปด้วย มีปัญญาไง พ้นจากกิเลสไป มารแสวงหาไง มารค้นคว้าจนฝุ่นตลบเลย ว่าจิตดวงนี้ยังอยู่ในอำนาจของเราอยู่ไหม จิตดวงนี้ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้ไหม มิติใดมิติหนึ่งต้องไปเกิด ค้นคว้าค้นหาไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “พญามาร เธอไม่ต้องค้นคว้าหรอก เธอหาจิตดวงนั้นไม่เจอ เพราะจิตดวงนั้นสิ้นจากกิเลสแล้ว” จิตดวงนั้นพ้นจากกิเลส เพราะเขามีปัญญา เขาใคร่ครวญของเขา มันใคร่ครวญของเขา ของเขาที่ว่าปัญญาเกิดขึ้น

เจริญแล้วเสื่อมๆ มันเป็นพื้นฐาน มันเป็นความผิดพลาดไง ใจนี้ผิดพลาดมากก็มีความทุกข์มาก จะต้องพยายามค้นคว้าหาทางออกใหม่ พลิกแพลงตลอดไป จะไม่ไร้เดียงสาเพราะเราพลิกแพลง เราเปลี่ยนอุบายเราเปลี่ยนวิธีการต่อสู้กับกิเลสของเราตลอดไป กิเลสของเรามีอำนาจเหนือเรานี่ พญามารควบคุมหมด แม้แต่การประพฤติปฏิบัติพญามารมันก็ควบคุมไว้ มันถึงว่าต้องเป็นกรอบ จะต้องเหมือนตำรา จะต้องเหมือนอย่างนั้น

ความไร้เดียงสา เราไม่เข้าใจตามธรรมเลย พอเราเห็นสภาวะตามความจริงของเรา จริงของเรา จริงของเราเพราะอะไร เพราะมันปล่อยวาง มันเข้าใจตามเป็นจริง มันจะมีความสุขแปลกประหลาดจากโลก จิตนี้สงบมันมีความชุ่มเย็นอยู่ ๗ วัน ๘ วัน มีความสุขตลอดไป แต่เวลาวิปัสสนาขึ้นไปมันปล่อยนะ มันปล่อยสติปัฏฐาน ๔ มันปล่อย อะไรก็แล้วแต่ปล่อยวางไปนี่มันจะเบากายเบาตัวนะ เดินนะเหมือนจะลอยไปลอยมาได้หลายวันเลย แล้วเดี๋ยวมันก็เสื่อม

สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมที่เป็นธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เป็นธรรมชาติมันแปรปรวน มันไม่คงที่ มันแปรปรวน แต่มันแปรปรวนในสิ่งที่ดี เราพยายามสร้างสัมมาสมาธิ สัมมาสติ สัมมาปัญญา ความดำริชอบ ความเพียรชอบ เราสะสมสิ่งนี้ขึ้นมา สิ่งนี้คือการเดินอริยมรรค สิ่งที่การเดินอริยมรรคเราก้าวเดินไป สิ่งที่เป็นอริยมรรคมันจะเข้าไปทำลายกัน มันจะเข้าไปทำลายสิ่งนั้น พอทำลายสิ่งนั้น สภาวะของธรรมชาติเหมือนพายุเลย เวลาพายุมันเกิดขึ้นมานี่มันกวาดสิ่งต่างๆ ราบเรียบไปหมด

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเกิดเปรียบพายุสภาวธรรมมันเกิดขึ้น ปัญญามันใคร่ครวญมันจะอยู่ไม่ได้นะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจนปัญญามันก้าวเดินมันสูงขึ้นไปจะอยู่กับใครไม่ได้หรอก มันต้องการเวลา ไม่ต้องการเป็นกังวล ปัญญามันจะหมุนเหมือนพายุเกิดขึ้นในหัวใจเลย เห็นสภาวะตามความจริงขนาดนั้นนะ แล้วมันทำลายกัน มันทำลายสิ่งที่ว่าเป็นกิเลสที่ความเห็นผิดของเรานี่ นั่นนะ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมชาติมันเกิดขึ้นมา

แล้วผู้รู้จริงนั้นเหนือธรรมชาติ อกุปปธรรม สิ่งที่ไม่แปรสภาพ สิ่งนี้จะไม่เวียนไปในธรรมชาตินั้นเป็นอกุปปะที่ไม่มีวันเสื่อมเด็ดขาด สิ่งที่ไม่มีวันเสื่อมเด็ดขาดเกิดขึ้นมาจากเราจากไร้เดียงสานี่ เราไร้เดียงสาเพราะธรรมเราอ่อนด้อย ธรรมเรายังไม่ก้าวเดินไป แต่ปัญญาเราก้าวเดินขึ้นมาเพราะเรามีครูบาอาจารย์ เรามีที่พึ่งอาศัย เราต้องเหนี่ยวไว้ก่อน เกาะไว้ก่อน เกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ก่อนว่าเป็นที่พึ่งของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นผู้สิ้นกิเลส พ้นจากกิเลส เข้าใจสภาวะตามความเป็นจริงของมารที่มันพลิกแพลง โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค กิเลสมันละเอียดอ่อนมันพลิกแพลงเป็นชั้นเป็นตอน แล้วเราใคร่ครวญเข้าไป ความไร้เดียงสาเกิดขึ้นมาจากเรา เราก็ก้าวเดินจากความไร้เดียงสาของเราขึ้นไป ไร้เดียงสาก็มีความตั้งใจ มีความประพฤติปฏิบัติ นี่อำนาจวาสนาไง คุ้นชินกับความรู้สึกของเรา ความคุ้นความชิน เห็นไหม

ความไร้เดียงสาของเด็กเราต้องดูแลต้องรักษา เราพยายามรักษาเราโอบอุ้มมันจะมีความอบอุ่น การคุ้นชินของกิเลส ถ้าการไร้เดียงสาของธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรมเราจะคุ้นชิน อยู่กับครูบาอาจารย์นะ ท่านบอกว่าไม่ให้คุ้นชินกับสิ่งใด ความเคยชินกับสิ่งใด ความเคยชินกับสิ่งนั้น นั่นนะกิเลสมันจะออกช่องนั้นนะ ความออกช่องนั้นนะมันจะนอนใจ มันจะนอนใจ มันจะไม่ระวังภัย สิ่งที่ไม่ระวังภัยมันจะเกิดขึ้น ไร้เดียงสาอย่างนี้แล้วกิเลสมันก็ครอบงำ กิเลสมันครอบงำเลยนะ

การประพฤติปฏิบัติมันเทียบเคียง เป็นสัญญา เป็นการมั่นหมาย เอาสิ่งที่ครูบาอาจารย์เทศน์มามั่นหมาย จะเป็นการเทศน์เอามาเป็นอารมณ์ไว้ก่อน ถ้ามันเป็นปัจจุบันมันเกิดขึ้นมาเป็นสมบัติของเราอันนั้นถูกต้อง แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติจะให้เป็นอย่างนั้นมันเป็นการเป้าหมาย เราเอาเป้าหมายมาเป็นปัจจุบันแล้วเราคิดสภาวะแบบนั้น นี่กิเลสมันเข้าช่องอย่างนี้ เราเลยกลายเป็นไร้เดียงสาโดนกิเลสเหยียบย่ำตลอดไป การประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะต้องต่อสู้กับกิเลสของเรา แต่กิเลสเรามันก็หาทางออกด้วยความเคยชินของเรา ถึงต้องไม่เคยชิน ต้องตื่นตัว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในสภาวธรรม พระในสมัยพุทธกาล จำพรรษาแล้วออกพรรษาแล้วต้องเคลื่อนย้ายไป ถ้าจำพรรษาอยู่ ๔ ปี ๕ ปี สงฆ์ปรับอาบัติได้เลย ปรับว่าไม่ออกแสวงหา ไม่ออกเปลี่ยนแปลงไง สมัยพุทธกาลนะ เวลาพระไปที่อยู่อาศัยแล้วต้องเก็บไว้ เวลาภิกษุออกจากที่นั้นไปไม่เก็บเตียงตั่ง ไม่เก็บเป็นอาบัติปาจิตตีย์ จะเก็บเวียนไป เพราะต้องการไม่ให้คุ้นชินกับสิ่งใด ให้แปรสภาพตลอดไป ให้เปลี่ยนแปลง ให้ตื่นตัวตลอดไป เพราะกิเลสมันคุ้นชินกับเราอยู่แล้ว

กิเลสมันเกิดมากับเรา กิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา มันคุ้นชินกับเรา แล้วก็เหยียบย่ำหัวใจของเรา เราก็เป็นทุกข์เป็นยากอยู่นี่ ลึกๆ อย่างนี้ กิเลสลึกอยู่ในหัวใจของเรา กว้างๆ ไม่มีขอบเขตที่ไปเกี่ยวข้องได้เลย ถึงต้องกำหนดสัมมาสมาธิ กำหนดคำบริกรรม ให้มีขอบมีเขตของเราขึ้นมา มันจะไร้เดียงสาขนาดไหนก็ให้มันก้าวเดินไป เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสลบถึง ๓ หน ปฏิบัติอยู่ ๖ ปี ทุกข์ยากขนาดไหนก็ทำมา แต่พ้นกิเลสได้

เวลาทุกข์เราทุกข์ในหัวใจของเรามาก เวลาอยากจะพ้นจากกิเลส ไม่อยากมีความทุกข์อย่างนั้นเลย แต่เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อมันมีเหตุอย่างนี้มันต้องมีผลต่อไปข้างหน้า เหตุของมันคือเรามีความพอใจกับเรา มันมีความเกิด ความเกิดในใจของเรามันยังมีอยู่มันต้องเป็นไป ต้องย้อนกลับมาภายใน แล้วเกิดปัญญาขึ้นมานี่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เกิดภาวนามยปัญญาของเราขึ้นมา ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นจากสัมมาสมาธิ เราถึงต้องพยายามกำหนดพุทโธๆ ให้ใจสงบขึ้นมา

พอใจสงบขึ้นมานี่ความลึกของมันก็เสมอกัน บ่อไม่เคยเต็มมันเต็มได้ เต็มได้ด้วยการทำสัมมาสมาธิ เต็มได้ด้วยใจอิ่มเต็ม พออิ่มเต็มแล้วยกขึ้นวิปัสสนา ถ้าใจมันไม่อิ่มเต็มยกขึ้นวิปัสสนามันเป็นความคาดความหมายเพราะมันพร่องอยู่ สิ่งที่พร่องอยู่นั้นคือตัวกิเลสมันอาศัยอยู่สิ่งนั้น แล้วมันก็ใช้ความคิดของมันทำให้เราไร้เดียงสา ธรรมะไร้เดียงสา แต่กิเลสมันเข้มแข็ง

ถ้าธรรมะมันเข้มแข็งกิเลสมันจะไร้เดียงสาชั่วคราวๆ จนถึงที่สุดเวลาสมุจเฉทปหาน กิเลสต้องตายไปจากใจ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล นี่ลูกหลานมันตายไปๆ จนถึงพญามาร พญามารคือตัวอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา ถ้าเรามีความคิดเรามีความดำริขนาดไหน นั่นนะกิเลสมันอาศัยมาด้วยตลอดไป เพราะมารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา ความคิด ก่อนจะคิดดำริเพียงแต่มีแต่ความเจตนา มารขยับตัวตามมาแล้ว ต่อไปนี้เธอจะเกิดอีกไม่ได้ เพราะเรารู้เท่าทันเธอแล้ว มารเอยบัดนี้เธอจะเกิดจากหัวใจของเราอีกไม่ได้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยพญามารขนาดนั้น

แต่เราโดนพญามารครอบคลุมตลอดไป แล้วเราจะต้องเป็นไปโดยว่าความไร้เดียงสาของเรา เราตั้งใจ เรามีความตั้งใจของเรา เรามีความอุตสาห์พยายามของเรา ธรรมะต้องเจริญขึ้นมา เข้มแข็งขึ้นมา แล้วหัวใจของเรามีอยู่ ความรู้สึกมีอยู่ ความรู้สึกอันนี้มันจะพลิกแพลงเป็นปัญญาขึ้นมา สิ่งนี้มีพร้อมไง อาวุธหรือวัตถุต่างๆ เรามีพร้อมในหัวใจของเรา เพียงแต่ทำหรือไม่ทำ เจตนาหรือไม่เจตนา จริงหรือไม่จริง แล้วเราจะมีความอบอุ่นมีความเป็นจริงของใจของเรา ธรรมะในหัวใจของเราไม่ไร้เดียงสา จะเจริญงอกงามขึ้นมา จากความอุตสาห์พยายามของเรา เอวัง